CKD กระบอกลม คือ อุปกรณ์ที่ออกแบบมาให้เปลี่ยนพลังงานความดันลมเป็นพลังงานกล โดยจะมีก้านกระบอกสูบเคลื่อนที่เป็นแนวเส้นตรง แต่หมุนได้หลายองศาตั้งแต่ 90, 180, 270 ไปจนถึง 360 องศา โดยทั่วไปมีให้เลือกทั้ง 5 แบบตามลักษณะการทำงานและการเคลื่อนที่
CKD กระบอกลมมีกี่แบบอะไรบ้าง
หลัก ๆ CKD กระบอกลมมี 5 แบบ ดังนี้
1. กระบอกลมทางเดียว
เหมาะกับการโหลดงานไม่หนักมาก เช่น ช่วงไฟดับ หรือใช้งานชั่วคราว หลักการทำงานของกระบอกสูบเกิดจากก้านกระบอกใส่สปริงดันเข้าด้านใน ช่วยให้ลูกสูบกลับมายังตำแหน่งเดิมเพื่อให้สามารถใช้งานต่อได้
2. กระบอกลม 2 ทาง
เหมาะสำหรับงานที่ต้องการการเคลื่อนที่เป็นแนวตรงและระยะชักยาว หลักการทำงานเกิดจากแรงดันอากาศสองด้านสลับกัน โดยมี 2 หน้าที่ ได้แก่ ด้านหนึ่งผลิตแรงดันและอีกด้านจ่ายแรงดันอากาศ
3. กระบอกลมโรตารี่
เหมาะกับงานที่มีลักษณะพลิกชิ้นงานแบบอัตโนมัติ หลักการทำงานเกิดจากเฟืองสะพานก้านสูบขบกับเฟืองวงกลมเปลี่ยนการเคลื่อนที่แนวตรงเป็นแนวหมุน ส่งผลให้ก้านสูบจะสามารถเคลื่อนเข้า – ออกได้
4. กระบอกลมไร้แกน
เหมาะสำหรับงานที่มีพื้นที่ค่อนข้างจำกัด หลักการทำงานสามารถเคลื่อนย้ายวัตถุได้โดยปราศจากแกนสูบ แบ่งเป็น 3 ประเภท ได้แก่ Magnetically Coupled Rodless Cylinder, Rodless Cylinder และ Cable Cylinder
5. กระบอกลม Telescoping Cylinder
เหมาะสำหรับงานที่มีพื้นที่จำกัดด้วยคุณสมบัติยืดหดได้ หลักการทำงานเกิดจากแกนลูกสูบหลายชั้นซ้อนกันจากใหญ่ไปเล็กอยู่ภายใน
ข้อดีของกระบอกลม
นอกจาก CKD กระบอกลมจะมีหลายแบบแล้วยังมีข้อดี ดังต่อไปนี้
1. ใช้งานได้หลากหลายอุตสาหกรรม
เช่น ด้านการผลิต ด้านการก่อสร้าง เครื่องมือตรวจสอบประสิทธิภาพ ฯลฯ
2. ยึดเก็บหรือนำอุปกรณ์
มีส่วนช่วยให้ชิ้นส่วนต่าง ๆ ในการผลิตยึดกันเป็นอย่างดี ช่วยให้กรรมวิธีการผลิตมีคุณภาพมากขึ้น
3. มีความปลอดภัยสูง
เนื่องจากแรงดันที่ใช้เป็นแรงดันอากาศจึงไม่เสี่ยงต่อการระเบิดหรือติดไฟ และมิตรกับสิ่งแวดล้อม
ส่วนประกอบหลักของกระบอกลม
กระบอกลม CKD หลัก ๆ มีส่วนประกอบ 6 อย่าง ดังนี้
- Cap – end Port พอร์ตปลายก้าน
- Barrel กระบอกสูบ
- Rod – end Port พอร์ตปลายท่อ
- Piston ลูกสูบ
- Tie Rod แกนยึด
- Piston Rod แกนลูกสูบ
จะเห็นได้ว่ากระบอกลม CKD จะมีส่วนประกอบแบบเดียวกัน มีประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมหลายด้าน แต่มีให้เลือกหลายแบบตามลักษณะการใช้งานหรือการเคลื่อนที่ ดังนั้นจึงต้องเลือกให้สอดคล้องกับการใช้งานโดยพิจารณาจากหลายปัจจัย ได้แก่ แรงดันอากาศ น้ำหนักของโหลด และความเร็วของงาน เช่น ความเร็ว 4 นิ้ว / วินาที ควรเลือกกระบอกลมแรงดันมากกว่า 25% ของโหลด ความเร็ว 4 – 6 / วินาที ควรเลือกกระบอกลมแรงดันมากกว่า 50% ชองโหลด เป็นต้น เพื่อยืดอายุการใช้งานและป้องกันอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้น